อะไรคือ Internet of Things?
Internet of Things หรือเรียกสั้นๆ ว่า IoT คือ การที่สิ่งต่างๆ รอบตัวเราถูกเชื่อมโยงเข้าด้วยกันบนโลกของอินเทอร์เน็ต ซึ่งทาให้เราสามารถควบคุมหรือสั่งการอุปกรณ์ต่างๆ ได้ ไม่ว่าจะเป็น การเปิด-ปิดไฟ แอร์ โทรทัศน์ ฯลฯ ผ่านทางเครือข่ายอินเทอร์เน็ตด้วยสมาร์ทโฟน คอมพิวเตอร์ หรืออุปกรณ์พกพาอื่นๆ นอกจากสิ่งต่างๆ รอบตัวเราแล้ว IoT ยังถูกนาไปใช้กับทางการแพทย์ การเกษตร เครื่องจักรกลในโรงงานอุตสาหกรรม และอื่นๆ อีกมากมาย
IoT ทางานอย่างไร? เทคโนโลยี IoT มีความจาเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องทางานร่วมกับอุปกรณ์ทางด้าน Radio-frequency identification (RFID) หรือ Sensor ต่างๆ ซึ่งเปรียบเสมือนกับการใส่สมองให้กับอุปกรณ์ และต้องมีการเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตเพื่อให้อุปกรณ์เหล่านั้นสามารถรับ-ส่งข้อมูล เพื่อให้เราสามารถควบคุมและสั่งการมันได้
ใช้ IoT กับอะไรได้บ้าง?
มีการนา IoT มาประยุกต์ใช้ในงานหลากหลายด้าน แต่ในบทความนี้ขอยกตัวอย่างงาน 5 ด้านที่นิยมนามาใช้กันในปัจจุบัน
1. Connected Health เป็นเครือข่ายเชื่อมโยงระบบสุขภาพครบวงจร เริ่มตั้งแต่ผู้ป่วย ไปถึงแพทย์ และโรงพยาบาล ยกตัวอย่าง เช่น การติดตามอาการของผู้ป่วยที่บ้าน (โดยเฉพาะผู้ป่วยสูงอายุ) ผู้ป่วยจะติดอุปกรณ์เซนเซอร์ต่างๆ บนร่างกาย เช่น เครื่องวัดอัตราการเต้นของหัวใจ วัดการเต้นของชีพจร จับการเคลื่อนไหว ฯลฯ ซึ่งข้อมูลจากอุปกรณ์เหล่านี้จะถูกส่งผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตไปยังแพทย์เพื่อให้สามารถติดตามและประเมินอาการได้ 24 ชั่วโมง รวมไปถึงกรณีที่ผู้ป่วยหัวใจหยุดเต้น หรือหกล้ม ระบบจะทาการแจ้งเตือนไปยังห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาลเพื่อส่งรถมารับที่บ้านเพื่อปฐมพยาบาลหรือนาตัวมารักษาได้อย่างทันท่วงที
2. Smart Home หรือบ้านอัจฉริยะ เป็นการนาเทคโนโลยี IoT เข้ามาเพื่อตอบโจทย์สาหรับผู้พักอยู่อาศัยในหลากหลายด้าน ได้แก่ 1) เพิ่มความสะดวกสบายในชีวิตประจาวัน เช่น ประตูอัจฉริยะ หรือตู้เย็นอัจฉริยะ (โดยตู้เย็นสามารถบอกผ่านแอพลิเคชั่นบนสมาร์ทโฟนได้ว่า มีวัตถุดิบใดเหลือบ้าง ปริมาณเท่าใด วัตถุดิบใดใกล้หมดอายุ หรือวัตถุดิบเหล่านั้นสามารถนามาประกอบเป็นรายการอาหารอะไรได้บ้าง) 2) เพิ่มความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน เช่น อุปกรณ์ตรวจจับความเคลื่อนไหว (เมื่อมีการเคลื่อนไหวภายในบ้านขณะที่ไม่มีผู้อยู่อาศัย ระบบจะแจ้งเตือนมายังสมาร์ทโฟนว่ามีผู้ไม่ประสงค์ดีกาลังบุกรุกเข้ามา) และ 3) ประหยัดพลังงาน เช่น การเปิด-ปิดไฟอัตโนมัติ (โดยใช้เซนเซอร์วัดความสว่างจากแสงอาทิตย์ หรือวัดจากการเคลื่อนไหวของผู้อาศัยภายในห้อง)
3. Smart Farming หรือเกษตรอัจฉริยะ เป็นการนาเทคโนโลยี IoT มาใช้กับงานด้านการเกษตร เพื่อช่วยเพิ่มผลผลิตและแก้ไขปัญหาต่างๆ ได้แก่ 1) การวิเคราะห์พื้นที่เพาะปลูก เช่น การใช้อุปกรณ์เซนเซอร์ต่างๆ มาวัดคุณภาพดิน ความชื้น หรือสภาพอากาศ และนาข้อมูลที่ได้มาประมวลผลเพื่อเลือกปลูกพืชให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อม 2) การดูแลรักษาและเพิ่มผลผลิต เช่น ระบบให้น้าอัตโนมัติสาหรับพืชที่ต้องมีการควบคุมอุณหภูมิหรือความชื้น และ 3) ทุ่นแรงและลดภาระหรือความเสี่ยงให้กับเกษตรกร เช่น การใช้โดรนติดตั้งอุปกรณ์สาหรับฉีดพ่นสารเคมีในที่สูงหรือยากต่อการเข้าถึง อีกทั้งยังช่วยลดความเสี่ยงต่อตัวเกษตรกรในการได้รับสารเคมีที่เป็นอันตรายโดยตรง
4. Smart City หรือเมืองอัจฉริยะ เป็นการนาเทคโนโลยี IoT มาประยุกต์ใช้เพื่อให้คุณภาพของคนเมืองดีขึ้น เช่น การจัดการพลังงาน การดูแลความปลอดภัย การอานวยความสะดวก (ที่จอดรถ การจราจร ฯลฯ) โดยใช้ กล้องวงจรเปิด และเซนเซอร์ต่างๆร่วมกับข้อมูลหรือสารสนเทศที่เกี่ยวข้อง เป็นต้น
5. Smart Grid หรือโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ เป็นการนาเทคโนโลยีที่ทาการเชื่อมโยงระบบไฟฟ้า ระบบสารสนเทศ และระบบสื่อสารเข้าไว้ด้วยกัน เพื่อใช้ในการควบคุมการผลิต ส่ง และจ่ายกระแสไฟฟ้าไปยังบ้านเรือน และโรงงานอุตสาหกรรม เป็นต้น
จาก 5 ตัวอย่างที่ผ่านจะเห็นได้ว่า Internet of Things นั้นมีประโยชน์หลากหลายด้าน แต่อย่าลืมว่าทุกเทคโนโลยีย่อมมีความเสี่ยง โดยเฉพาะด้านความปลอดภัย ซึ่งหากอุปกรณ์หรือระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตไม่ดีพอ อาจจะเป็นช่องโหว่ให้ผู้ที่ไม่ประสงค์ดีเข้ามาทาสิ่งที่ไม่พึงประสงค์ต่ออุปกรณ์และข้อมูลได้ ดังนั้นการก้าวไปสู่ยุค Internet of Things ที่สมบูรณ์ มีความจาเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการพัฒนามาตรฐานด้านความปลอดภัยควบคู่ไปด้วย
ขอพระคุณข้อมูล จาก
ดร.เสกสรรค์ ศิวิลัย: เขียน
Dr.Sakesan Sivilai
MCSA, MCSD, MCP, MOS 77-881, MOS 77-882, MOS 77-883
e-Mail: This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it. FB: http://www.facebook.com/sakesan.sivilai